วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

On my way home ตอน...รถไฟฟ้า มาแล้วนะเออ

ขมมี่เล่าประสบการณ์ระหว่างทางกลับบ้านไปให้ฟังแล้วตอนนึง คราวนี้ขอเล่าถึงผู้คนกันบ้างนะคะ
ยังคงวนเวียนอยู่กับรถไฟฟ้านี่ละค่ะ ระหว่างรอรถ ไม่รู้จะทำไงก็สอดส่ายสายตามองโน่นนี่ไปเรื่อย ก่อนจะได้ก้าวขาขึ้นรถไฟฟ้า เชื่อว่าทุกคนต้องได้ยินเสียงนกหวีดของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี ดังบาดหูเหลือเกิน มีพลังเท่าไหร่ พี่แกใส่เข้าไปหมดแม็ก ไม่ว่าใครหน้าไหนที่ย่างกรายล้ำเส้นเหลืองของพี่ พี่จะเป่าให้มันหูแตกตายกันไปตรงนั้นเลย




ทำไงได้ล่ะคะ ก็ในเมื่อมันเป็นถิ่นของเขา เราต้องเคารพกติกาของเจ้าถิ่น ผู้ที่มีนกหวีดเป็นอาวุธประจำกาย แต่บางทีก็สงสัยว่า พี่จะเป๊ะไปถึงไหนคะ มีอยู่วันนึงขมเอากระเป๋าลากไปด้วย ระหว่างยืนรอรถไฟ วางกระเป่าลากไว้ที่พื้นด้านหน้า ล้ำเข้าไปในเส้นสีเหลือง(เหลืองใหญ่)นิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ ค่ะท่านผู้ชม ส่วนอิฉันนั้นยืนอยู่ห่างจากเส้นเหลืองพอประมาณ พี่แกก็เป่า ๆๆๆ เอาซี๊ ถ้าไม่ถอยพี่ไม่หยุด ขมมี่ก็โรคจิต อยากให้พี่มีงานทำ ก็ให้พี่เป่าไปเรื่อยๆ สรุปว่าบ้าพอกัน ฮ่าฮ่า

ที่สถานีนี้จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขึ้นรถไฟมากที่สุดเท่าที่สังเกตจากทุกๆ สถานี มีทั้งแขก จีนและฝรั่ง อีนี่ไม่อยากเมาท์พี่แขกเลย ยังไงก็ขอแอบเมาท์นิดนึง พี่แขกชอบมายืนประกบข้างๆ ขอร้องล่ะพี่แขกช่วยเถิบไปอีกสัก 3-4 ก้าวได้ไหมคะ อีขมมี่จะเป็นลมเครื่องเทศ ส่วนพี่จีนก็มาแบบล้งเล้งสุดฤทธิ์ แถมวันนั้นเอาทุเรียนขึ้นรถไฟด้วย อั๊ยย่ะ ส่วนพี่ฝรั่ง (ไม่รู้ชาติไหน หน้าตาเหมือนกันหมด) เข้าท่าหน่อย นิ่งๆ สำรวม แอบมีหล่อบ้างบางคนนะตะเอง กรี๊ด แต่ก็ชอบวางกระเป่าใบใหญ่ขวางประตู ลงกันไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยง ขบวนรถตู้ที่ 1-3 ส่วน 2 ตู้ท้ายขบวนชาวต่างชาติไม่ค่อยขึ้น มีแต่พี่ไทยด้วยกัน เบียดกันหน่อย แอบจิ๊จ๊ะกันไป พอหอมปากหอมคอ


แอบส่องหน้าคนขับ ดูไม่เคยทันซะที

ช่วงเย็นที่มีคนหนาแน่น รถไฟกลับบ้านก็แน่นตามระเบียบ ที่จริงมันจะแน่นเฉพาะหน้าประตูนะ เดินมาข้างในลึกๆ หน่อยก็ยืนสบายๆ ไม่เบียดกันเลย พอจอดแต่ละสถานี พนักงานขับรถต้องคอยบอกให้คนเดินเข้าใน มีคนขับอยู่ขบวนนึง พูดจาน่ารัก ออดอ้อนผู้โดยสารอย่างยิ่ง ทำให้อยากเห็นหน้าขึ้นมาเลยเชียว ส่วนอีกคนทำหน้าที่แจ้งผู้โดยสารได้ครบถ้วนไม่มีตกหล่นซักประโยค แถมภาษาอังกฤษก็เป๊ะมาก แม้จะพูดด้วยสำเนียงไทยๆ ก็เถอะ เราขอชื่นชมทั้งสองท่าน

ว่าแล้วก็หันมาดูตัวเอง วันนี้ทำหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยังนะ เห๊อะ กลับไปทำงานต่อดีกว่า

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

On my way home ตอน...ขึ้นเขา

เมื่อวันนึง ขมมี่ต้องโคจรออกจากโลกใบน้อย ไปทำมาหากินนอกบ้าน สู้ชีวิตกับเขาบ้าง ระยะแรกๆ เหนื่อยมากถึงมากที่สุด ต้องเดินทางไกล เบียดเสียดผู้คนในช่วงเช้า ช่วงเวลาที่รถติดหนึบ ใครๆ ก็หันไปพึ่งพารถไฟฟ้า สัปดาห์แรกที่เริ่มงาน เหมือนโดนสวรรค์กลั่นแกล้ง ขึ้นรถไฟฟ้ารถก็แน่นมาก ยืนเขย่งบนปลายเท้า แทบจะไม่ต้องเกาะเพราะคนที่ยืนอยู่รอบข้าง พยุงให้เรายืนได้โดยไม่ล้ม ไหนจะกระเป่าสะพาย ไหนจะกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊ค แทบอยากจะลาออกตั้งแต่อาทิตย์แรกกันเลยทีเดียวเชียว

พอ 1 สัปดาห์ ผ่านไป แปลกแฮะ รถไฟฟ้าก็ไม่แน่นอย่างเคย ก็ยังแน่นอยู่นะ แต่ยังพอมีพื้นที่ให้ขยับได้บ้างไม่แน่นเหมือนช่วงแรก ทั้งที่มาเวลาเดิม สงสัยสัปดาห์แรกจะเป็นการรับน้องใหม่ ทดสอบความอดทนกันหรือไงคะ นอกจากจะต้องขึ้นรถหลายต่อ แบกข้าวของหนักๆ ไปกลับทุกวันแล้ว ด่านหนึ่งที่หินมาก ก็คือ การขึ้นไปให้ถึงสถานีรถไฟฟ้าโดยไม่มีบันไดเลื่อน เนื่องจากขากลับขมมี่ต้องขึ้นไปสถานีจากถนนฝั่งที่คนใช้น้อย เขาเลยไม่ทำบันไดเลื่อนไว้บริการ ต้องลากขาขึ้นไปเองถึง 2 ช่วง รวมบันไดที่ต้องก้าวขึ้น 87 ขั้น วันแรกๆ หอบแฮกๆ ตั้งแต่ชั้นแรก 44 ขั้น ก้าวขาไป สมเพชตัวเองไป นี่เราสังขารไม่เอื้อขนาดนั้นแล้วเหรอ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ได้รับกำลังใจจากเพื่อนรักว่าสักวันขมมี่จะเก่ง ขมมี่จะแกร่ง


แค่เห็นก็ท้อแล้ว

เวลาผ่านไป 1 เดือน ชีวิตมีการพัฒนาขึ้น จากที่เคยหอบลิ้นห้อยอยู่ที่ขั้น 40 กว่าๆ ก็ขยับมาเป็นหมาหอบอยู่ที่ขั้น 50-60 พร้อมใจมุ่งมั่น พรุ่งนี้ฉันจะไม่หยุดพัก ต้องรวดเดียวให้ถึงให้ได้ และแล้ว ขมมี่ก็ทำได้ แต่พอมายืนบนชั้นขายตั๋ว มองไปที่จอมอนิเตอร์เห็นตัวเลขอีก 2 นาที รถไฟมาถึง เอาละสิ ไม่ต้องหยุดพัก วิ่งขึ้นบันไดต่อไปที่ชานชลา เพื่อให้ทันรถไฟขบวนนี้ สุดท้ายก็ ทันค่ะทัน แต่ใจจะขาด หัวใจเต้นตึ้กตักโครมคราม แทบจะออกมานอกอก วันต่อๆ มา ขมมี่เริ่มชิน เริ่มเหนื่อยน้อยลง น้อยลง น้อยลง หมายความว่า ร่างกายเริ่มจะแข็งแรงขึ้นแล้วใช่มั๊ยคะ