วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

แต่ละคนย่อมมีเหตุผลต่างกันไป

ฉันเป็นคนหนึ่งค่ะ ที่เคยตั้งคำถาม เวลาเห็นคุณยายแก่ ๆ ผมขาวโพลนนั่งขายของอยู่ตลาด เห็นคุณลุงสายตาฝ้าฟาง แต่ยังต้องมาขับแท็กซี่ แล้วนึกสงสัยว่า ลูกหลานมันไปไหนกันหมดเนี่ย ปล่อยให้พ่อแม่แก่ ๆ ต้องมาลำบากแบบนี้

ค่ะ ยอมรับว่าเคยคิด 

จนกระทั่งวันหนึ่ง

ระหว่างที่ขับรถไปต่างจังหวัดพร้อมกับครอบครัว และคุณแม่วัย 78 ปี
คุณแม่เข้าห้องน้ำตลอดเส้นทาง เพิ่งออกจากห้องน้ำปั๊มที่แล้วได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็บ่นปวดท้องอีก
พอเห็นปั๊มก็รีบเลี้ยวเข้าไป รถยังจอดไม่สนิทดี คุณแม่รีบเปิดประตูจะก้าวลง
หันไปบอกคุณแม่ว่า แม่รอเดี๋ยวนะ พอดีลูกชายหลับอยู่บนตัก ขอวางลูกบนเบาะก่อนแล้วจะพาไปเข้าห้องน้ำ

คุณยาย : แม่ปวดท้องมากไม่ไหวแล้ว ดูลูกเถอะ เดี๋ยวตื่นมาไม่เห็นแม่จะร้องไห้
ฉัน : ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวแม่ไปลื่นล้มในห้องน้ำ งั้นให้คุณ (สามี) พาไปส่งหน้าห้องน้ำก่อน จะรีบตามไป

ระหว่างนั้น จะปล่อยลูกให้นอนในรถคนเดียวในรถคงจะไม่ได้ ตัดสินใจอุ้มลูกไปทั้งหลับๆ อย่างนั้น
เดินตามหลังแม่ไป เห็นเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำ หลังไวไว
แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคน พูดขึ้นมาว่า มาค่ะคุณยาย เดี๋ยวหนูพาเข้าห้องน้ำเอง
แอบโล่งใจ มีคนใจดีช่วยพาแม่เข้าห้องน้ำแล้ว
จากนั้นก็ได้ยินอีกประโยคหนึ่งตามมา
ดูสิแม่ ลูกเต้ามันไปไหนเนี่ย ปล่อยให้คนแก่ขนาดนี้ เดินมาเข้าห้องน้ำคนเดียวได้ไง

เป็นคุณ คุณจะทำยังไงคะ โดนด่าต่อหน้าจัง ๆ เลย
 อืม ก็คนพูดเขาไม่รู้นิว่า ผู้หญิงท้องโย้ ที่กระเตงเด็กน้อยวัย 2 ขวบ กำลังเดินตามมานี่
คือคนที่เขาหมายถึง

สูดหายใจลึก ๆ แล้ว ตอบเขาไปว่า  ขอบคุณค่ะ ที่ช่วยพาคุณแม่เข้าห้องน้ำ

ขอบคุณ ประสบการณ์ที่คอยสอนฉัน
และหวังว่า คำขอบคุณจากฉัน จะช่วยตอบคำถามก่อนหน้านี้ให้เขาได้บ้าง

ขมมี่

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

On my way home ตอน...รถไฟฟ้า มาแล้วนะเออ

ขมมี่เล่าประสบการณ์ระหว่างทางกลับบ้านไปให้ฟังแล้วตอนนึง คราวนี้ขอเล่าถึงผู้คนกันบ้างนะคะ
ยังคงวนเวียนอยู่กับรถไฟฟ้านี่ละค่ะ ระหว่างรอรถ ไม่รู้จะทำไงก็สอดส่ายสายตามองโน่นนี่ไปเรื่อย ก่อนจะได้ก้าวขาขึ้นรถไฟฟ้า เชื่อว่าทุกคนต้องได้ยินเสียงนกหวีดของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี ดังบาดหูเหลือเกิน มีพลังเท่าไหร่ พี่แกใส่เข้าไปหมดแม็ก ไม่ว่าใครหน้าไหนที่ย่างกรายล้ำเส้นเหลืองของพี่ พี่จะเป่าให้มันหูแตกตายกันไปตรงนั้นเลย




ทำไงได้ล่ะคะ ก็ในเมื่อมันเป็นถิ่นของเขา เราต้องเคารพกติกาของเจ้าถิ่น ผู้ที่มีนกหวีดเป็นอาวุธประจำกาย แต่บางทีก็สงสัยว่า พี่จะเป๊ะไปถึงไหนคะ มีอยู่วันนึงขมเอากระเป๋าลากไปด้วย ระหว่างยืนรอรถไฟ วางกระเป่าลากไว้ที่พื้นด้านหน้า ล้ำเข้าไปในเส้นสีเหลือง(เหลืองใหญ่)นิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ ค่ะท่านผู้ชม ส่วนอิฉันนั้นยืนอยู่ห่างจากเส้นเหลืองพอประมาณ พี่แกก็เป่า ๆๆๆ เอาซี๊ ถ้าไม่ถอยพี่ไม่หยุด ขมมี่ก็โรคจิต อยากให้พี่มีงานทำ ก็ให้พี่เป่าไปเรื่อยๆ สรุปว่าบ้าพอกัน ฮ่าฮ่า

ที่สถานีนี้จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขึ้นรถไฟมากที่สุดเท่าที่สังเกตจากทุกๆ สถานี มีทั้งแขก จีนและฝรั่ง อีนี่ไม่อยากเมาท์พี่แขกเลย ยังไงก็ขอแอบเมาท์นิดนึง พี่แขกชอบมายืนประกบข้างๆ ขอร้องล่ะพี่แขกช่วยเถิบไปอีกสัก 3-4 ก้าวได้ไหมคะ อีขมมี่จะเป็นลมเครื่องเทศ ส่วนพี่จีนก็มาแบบล้งเล้งสุดฤทธิ์ แถมวันนั้นเอาทุเรียนขึ้นรถไฟด้วย อั๊ยย่ะ ส่วนพี่ฝรั่ง (ไม่รู้ชาติไหน หน้าตาเหมือนกันหมด) เข้าท่าหน่อย นิ่งๆ สำรวม แอบมีหล่อบ้างบางคนนะตะเอง กรี๊ด แต่ก็ชอบวางกระเป่าใบใหญ่ขวางประตู ลงกันไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยง ขบวนรถตู้ที่ 1-3 ส่วน 2 ตู้ท้ายขบวนชาวต่างชาติไม่ค่อยขึ้น มีแต่พี่ไทยด้วยกัน เบียดกันหน่อย แอบจิ๊จ๊ะกันไป พอหอมปากหอมคอ


แอบส่องหน้าคนขับ ดูไม่เคยทันซะที

ช่วงเย็นที่มีคนหนาแน่น รถไฟกลับบ้านก็แน่นตามระเบียบ ที่จริงมันจะแน่นเฉพาะหน้าประตูนะ เดินมาข้างในลึกๆ หน่อยก็ยืนสบายๆ ไม่เบียดกันเลย พอจอดแต่ละสถานี พนักงานขับรถต้องคอยบอกให้คนเดินเข้าใน มีคนขับอยู่ขบวนนึง พูดจาน่ารัก ออดอ้อนผู้โดยสารอย่างยิ่ง ทำให้อยากเห็นหน้าขึ้นมาเลยเชียว ส่วนอีกคนทำหน้าที่แจ้งผู้โดยสารได้ครบถ้วนไม่มีตกหล่นซักประโยค แถมภาษาอังกฤษก็เป๊ะมาก แม้จะพูดด้วยสำเนียงไทยๆ ก็เถอะ เราขอชื่นชมทั้งสองท่าน

ว่าแล้วก็หันมาดูตัวเอง วันนี้ทำหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยังนะ เห๊อะ กลับไปทำงานต่อดีกว่า

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

On my way home ตอน...ขึ้นเขา

เมื่อวันนึง ขมมี่ต้องโคจรออกจากโลกใบน้อย ไปทำมาหากินนอกบ้าน สู้ชีวิตกับเขาบ้าง ระยะแรกๆ เหนื่อยมากถึงมากที่สุด ต้องเดินทางไกล เบียดเสียดผู้คนในช่วงเช้า ช่วงเวลาที่รถติดหนึบ ใครๆ ก็หันไปพึ่งพารถไฟฟ้า สัปดาห์แรกที่เริ่มงาน เหมือนโดนสวรรค์กลั่นแกล้ง ขึ้นรถไฟฟ้ารถก็แน่นมาก ยืนเขย่งบนปลายเท้า แทบจะไม่ต้องเกาะเพราะคนที่ยืนอยู่รอบข้าง พยุงให้เรายืนได้โดยไม่ล้ม ไหนจะกระเป่าสะพาย ไหนจะกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊ค แทบอยากจะลาออกตั้งแต่อาทิตย์แรกกันเลยทีเดียวเชียว

พอ 1 สัปดาห์ ผ่านไป แปลกแฮะ รถไฟฟ้าก็ไม่แน่นอย่างเคย ก็ยังแน่นอยู่นะ แต่ยังพอมีพื้นที่ให้ขยับได้บ้างไม่แน่นเหมือนช่วงแรก ทั้งที่มาเวลาเดิม สงสัยสัปดาห์แรกจะเป็นการรับน้องใหม่ ทดสอบความอดทนกันหรือไงคะ นอกจากจะต้องขึ้นรถหลายต่อ แบกข้าวของหนักๆ ไปกลับทุกวันแล้ว ด่านหนึ่งที่หินมาก ก็คือ การขึ้นไปให้ถึงสถานีรถไฟฟ้าโดยไม่มีบันไดเลื่อน เนื่องจากขากลับขมมี่ต้องขึ้นไปสถานีจากถนนฝั่งที่คนใช้น้อย เขาเลยไม่ทำบันไดเลื่อนไว้บริการ ต้องลากขาขึ้นไปเองถึง 2 ช่วง รวมบันไดที่ต้องก้าวขึ้น 87 ขั้น วันแรกๆ หอบแฮกๆ ตั้งแต่ชั้นแรก 44 ขั้น ก้าวขาไป สมเพชตัวเองไป นี่เราสังขารไม่เอื้อขนาดนั้นแล้วเหรอ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ได้รับกำลังใจจากเพื่อนรักว่าสักวันขมมี่จะเก่ง ขมมี่จะแกร่ง


แค่เห็นก็ท้อแล้ว

เวลาผ่านไป 1 เดือน ชีวิตมีการพัฒนาขึ้น จากที่เคยหอบลิ้นห้อยอยู่ที่ขั้น 40 กว่าๆ ก็ขยับมาเป็นหมาหอบอยู่ที่ขั้น 50-60 พร้อมใจมุ่งมั่น พรุ่งนี้ฉันจะไม่หยุดพัก ต้องรวดเดียวให้ถึงให้ได้ และแล้ว ขมมี่ก็ทำได้ แต่พอมายืนบนชั้นขายตั๋ว มองไปที่จอมอนิเตอร์เห็นตัวเลขอีก 2 นาที รถไฟมาถึง เอาละสิ ไม่ต้องหยุดพัก วิ่งขึ้นบันไดต่อไปที่ชานชลา เพื่อให้ทันรถไฟขบวนนี้ สุดท้ายก็ ทันค่ะทัน แต่ใจจะขาด หัวใจเต้นตึ้กตักโครมคราม แทบจะออกมานอกอก วันต่อๆ มา ขมมี่เริ่มชิน เริ่มเหนื่อยน้อยลง น้อยลง น้อยลง หมายความว่า ร่างกายเริ่มจะแข็งแรงขึ้นแล้วใช่มั๊ยคะ

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แจ๋วอ่ะ คิดได้ไง

ร้านทำผมเล็กๆ ร้านหนึ่ง ที่กลายเป็นร้านประจำของขมมี่




ช่างทำผมเป็นคุณแม่ single mom เช่าห้องเล็กๆ คะเนจากสายตาน่าจะมีขนาดไม่เกิน 3*7 เมตร  เป็นทั้งร้านทำผม เป็นทั้งที่กิน นอน และทุกสิ่ง มีเก้าอี้ทำผม 2 ตัว เก้าอี้ธรรมดาๆ ไม่มีที่ปรับระดับให้สูงต่ำได้ เมื่อตอนครั้งแรกที่ไปทำผมร้านนี้ ระหว่างตัดผมก็นั่งคิดไปว่า ถึงเวลาไดรน์ผมพี่เค้าจะทำไง เราก็ตัวสูงเสียด้วยสิ

ได้เวลารู้ความลับ เธอหันไปใส่รองเท้าส้นตึกที่ถอดอยู่ด้านหลัง ความสูงไม่ต่ำกว่า 4 นิ้ว พี่ไม่มีเก้าอี้ แต่พี่ทำสูงเองได้ในพริบตา ชื่นชมในความคิด ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อเก้าอี้แพงๆ ก็ทำได้เหมือนกัน

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คุ้นๆ

วันก่อนระหว่างที่อาบน้ำให้คุณลูกสาว น้องลินตางอแงตามประสา อยู่ดี ๆ ลินตาก็พูดออกมาว่า

ลินตา :  เกิดเป็นคนนี่มันช่างลำบากจริงๆ นะคะ คุณแม่รู้มั๊ยคะว่าน้ำอุ่นที่คุณแม่อาบให้หนู ที่จริงแล้วมันไม่อุ่น มันร้อนนะคะคุณแม่ ถ้าคุณแม่ไม่เกิดเป็นหนู คุณแม่รู้หรอกค่ะ

คุณแม่ : !@#%***^&%^$#??

เอ่อ  ประโยคแรกที่ลูกพูด มันฟังดูคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้นะคะ ประโยคแบบนี้คุณแม่ไม่เคยสอน หนูไปจำมาจากไหน หรือว่ามันถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมคะเนี่ย

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

You've made my day



ตั้งแต่เกิดมา หนูทำให้ทุกวันของคุณแม่ขมมี่บนโลกน้อยๆ ใบนี้ มีความหมายม๊ากกก (กรุณาอ่านเสียงสูงตาม) หนูวีระกรรมเยอะมาก มากมายจนนับไม่ถ้วน รู้มั๊ยแม่เลี้ยงหนู แม่เหนื่อยสุดๆ แต่แม่ไม่เคยจดจำ เพราะความน่ารักของลูกทดแทนทุกสิ่ง วันนี้หนู 4 ขวบ แล้วนะ สุขสัตน์วันเกิดนะจ๊ะลูก

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เสื้อคอกระเช้า ภาษาบ้านเราเขาเรียกเสื้อหมากกะแหล่ง


เสร็จซะที เสื้อที่ตั้งใจว่าจะตัดใส่นอน ใส่เล่นอยู่บ้าน เป็นเสื้อที่ตัดใส่เองตัวที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว แต่ตัวนี้ตั้งใจตัดเลียนแบบเสื้อใส่เล่นอยู่บ้านที่ใส่มานานเกิน 6 ปี ใส่มาตั้งแต่ลูกชายยังอยู่ในท้อง ใส่บ่อยมาก จนลูกไม้ที่คอเสื้อมันแหว่งมันวิ่น อีกไม่นาน ตัวเสื้อก็คงจะขาดไปตามกาลเวลา ก่อนที่มันจะขาดไปเสียก่อน เราต้องก็อปแบบเอาไว้ ขมมี่ชอบคอที่คว้านกำลังดี ตัวเสื้อด้านข้างก็กว้าง ใส่สบาย ยกแขนแล้วไม่โป๊เห็นไปถึงไหนๆ


 

 
ที่จริง เสื้อต้นแบบค่อนข้างยาว แต่ผ้าเราไม่พอ ส่วนใหญ่จะซื้อมาชิ้นละเมตรเท่านั้น น่าจะต้องใช้ผ้าประมาณ 1.5 เมตรถึงจะพอดี ถึงผ้าจะไม่พอก็ไม่เป็นไร จัดการเย็บแบบตัดต่อด้านหลังก็ได้ ใส่เล่นอยู่บ้านก็ไม่มีใครเห็นนี่นา แค่กังวลอยู่ว่าตะเข็บด้านหลังจะทำให้ไม่สบายตัว ยังไงก็ลองดู ถ้าตัวนี้ใส่แล้วไม่เวิร์ค ตัวต่อไปแก้ไขได้นี่นา ตัดเสร็จก็ต้องรีบอวด แท แด๊


รอบตัวกว้างใส่สบายไม่อึดอัด


ให้เห็นลวดลายผ้าใกล้ๆ แถมเห็นจุดต่อผ้าด้านหลังด้วย


ยังไม่ได้ซักเลย ขอลองซะหน่อย

อย่างนี้เขาเรียกว่า Fin ใช่มะคะ