วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

On my way home ตอน...ขึ้นเขา

เมื่อวันนึง ขมมี่ต้องโคจรออกจากโลกใบน้อย ไปทำมาหากินนอกบ้าน สู้ชีวิตกับเขาบ้าง ระยะแรกๆ เหนื่อยมากถึงมากที่สุด ต้องเดินทางไกล เบียดเสียดผู้คนในช่วงเช้า ช่วงเวลาที่รถติดหนึบ ใครๆ ก็หันไปพึ่งพารถไฟฟ้า สัปดาห์แรกที่เริ่มงาน เหมือนโดนสวรรค์กลั่นแกล้ง ขึ้นรถไฟฟ้ารถก็แน่นมาก ยืนเขย่งบนปลายเท้า แทบจะไม่ต้องเกาะเพราะคนที่ยืนอยู่รอบข้าง พยุงให้เรายืนได้โดยไม่ล้ม ไหนจะกระเป่าสะพาย ไหนจะกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊ค แทบอยากจะลาออกตั้งแต่อาทิตย์แรกกันเลยทีเดียวเชียว

พอ 1 สัปดาห์ ผ่านไป แปลกแฮะ รถไฟฟ้าก็ไม่แน่นอย่างเคย ก็ยังแน่นอยู่นะ แต่ยังพอมีพื้นที่ให้ขยับได้บ้างไม่แน่นเหมือนช่วงแรก ทั้งที่มาเวลาเดิม สงสัยสัปดาห์แรกจะเป็นการรับน้องใหม่ ทดสอบความอดทนกันหรือไงคะ นอกจากจะต้องขึ้นรถหลายต่อ แบกข้าวของหนักๆ ไปกลับทุกวันแล้ว ด่านหนึ่งที่หินมาก ก็คือ การขึ้นไปให้ถึงสถานีรถไฟฟ้าโดยไม่มีบันไดเลื่อน เนื่องจากขากลับขมมี่ต้องขึ้นไปสถานีจากถนนฝั่งที่คนใช้น้อย เขาเลยไม่ทำบันไดเลื่อนไว้บริการ ต้องลากขาขึ้นไปเองถึง 2 ช่วง รวมบันไดที่ต้องก้าวขึ้น 87 ขั้น วันแรกๆ หอบแฮกๆ ตั้งแต่ชั้นแรก 44 ขั้น ก้าวขาไป สมเพชตัวเองไป นี่เราสังขารไม่เอื้อขนาดนั้นแล้วเหรอ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ได้รับกำลังใจจากเพื่อนรักว่าสักวันขมมี่จะเก่ง ขมมี่จะแกร่ง


แค่เห็นก็ท้อแล้ว

เวลาผ่านไป 1 เดือน ชีวิตมีการพัฒนาขึ้น จากที่เคยหอบลิ้นห้อยอยู่ที่ขั้น 40 กว่าๆ ก็ขยับมาเป็นหมาหอบอยู่ที่ขั้น 50-60 พร้อมใจมุ่งมั่น พรุ่งนี้ฉันจะไม่หยุดพัก ต้องรวดเดียวให้ถึงให้ได้ และแล้ว ขมมี่ก็ทำได้ แต่พอมายืนบนชั้นขายตั๋ว มองไปที่จอมอนิเตอร์เห็นตัวเลขอีก 2 นาที รถไฟมาถึง เอาละสิ ไม่ต้องหยุดพัก วิ่งขึ้นบันไดต่อไปที่ชานชลา เพื่อให้ทันรถไฟขบวนนี้ สุดท้ายก็ ทันค่ะทัน แต่ใจจะขาด หัวใจเต้นตึ้กตักโครมคราม แทบจะออกมานอกอก วันต่อๆ มา ขมมี่เริ่มชิน เริ่มเหนื่อยน้อยลง น้อยลง น้อยลง หมายความว่า ร่างกายเริ่มจะแข็งแรงขึ้นแล้วใช่มั๊ยคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น