วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

On my way home ตอน...รถไฟฟ้า มาแล้วนะเออ

ขมมี่เล่าประสบการณ์ระหว่างทางกลับบ้านไปให้ฟังแล้วตอนนึง คราวนี้ขอเล่าถึงผู้คนกันบ้างนะคะ
ยังคงวนเวียนอยู่กับรถไฟฟ้านี่ละค่ะ ระหว่างรอรถ ไม่รู้จะทำไงก็สอดส่ายสายตามองโน่นนี่ไปเรื่อย ก่อนจะได้ก้าวขาขึ้นรถไฟฟ้า เชื่อว่าทุกคนต้องได้ยินเสียงนกหวีดของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี ดังบาดหูเหลือเกิน มีพลังเท่าไหร่ พี่แกใส่เข้าไปหมดแม็ก ไม่ว่าใครหน้าไหนที่ย่างกรายล้ำเส้นเหลืองของพี่ พี่จะเป่าให้มันหูแตกตายกันไปตรงนั้นเลย




ทำไงได้ล่ะคะ ก็ในเมื่อมันเป็นถิ่นของเขา เราต้องเคารพกติกาของเจ้าถิ่น ผู้ที่มีนกหวีดเป็นอาวุธประจำกาย แต่บางทีก็สงสัยว่า พี่จะเป๊ะไปถึงไหนคะ มีอยู่วันนึงขมเอากระเป๋าลากไปด้วย ระหว่างยืนรอรถไฟ วางกระเป่าลากไว้ที่พื้นด้านหน้า ล้ำเข้าไปในเส้นสีเหลือง(เหลืองใหญ่)นิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆ ค่ะท่านผู้ชม ส่วนอิฉันนั้นยืนอยู่ห่างจากเส้นเหลืองพอประมาณ พี่แกก็เป่า ๆๆๆ เอาซี๊ ถ้าไม่ถอยพี่ไม่หยุด ขมมี่ก็โรคจิต อยากให้พี่มีงานทำ ก็ให้พี่เป่าไปเรื่อยๆ สรุปว่าบ้าพอกัน ฮ่าฮ่า

ที่สถานีนี้จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขึ้นรถไฟมากที่สุดเท่าที่สังเกตจากทุกๆ สถานี มีทั้งแขก จีนและฝรั่ง อีนี่ไม่อยากเมาท์พี่แขกเลย ยังไงก็ขอแอบเมาท์นิดนึง พี่แขกชอบมายืนประกบข้างๆ ขอร้องล่ะพี่แขกช่วยเถิบไปอีกสัก 3-4 ก้าวได้ไหมคะ อีขมมี่จะเป็นลมเครื่องเทศ ส่วนพี่จีนก็มาแบบล้งเล้งสุดฤทธิ์ แถมวันนั้นเอาทุเรียนขึ้นรถไฟด้วย อั๊ยย่ะ ส่วนพี่ฝรั่ง (ไม่รู้ชาติไหน หน้าตาเหมือนกันหมด) เข้าท่าหน่อย นิ่งๆ สำรวม แอบมีหล่อบ้างบางคนนะตะเอง กรี๊ด แต่ก็ชอบวางกระเป่าใบใหญ่ขวางประตู ลงกันไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยง ขบวนรถตู้ที่ 1-3 ส่วน 2 ตู้ท้ายขบวนชาวต่างชาติไม่ค่อยขึ้น มีแต่พี่ไทยด้วยกัน เบียดกันหน่อย แอบจิ๊จ๊ะกันไป พอหอมปากหอมคอ


แอบส่องหน้าคนขับ ดูไม่เคยทันซะที

ช่วงเย็นที่มีคนหนาแน่น รถไฟกลับบ้านก็แน่นตามระเบียบ ที่จริงมันจะแน่นเฉพาะหน้าประตูนะ เดินมาข้างในลึกๆ หน่อยก็ยืนสบายๆ ไม่เบียดกันเลย พอจอดแต่ละสถานี พนักงานขับรถต้องคอยบอกให้คนเดินเข้าใน มีคนขับอยู่ขบวนนึง พูดจาน่ารัก ออดอ้อนผู้โดยสารอย่างยิ่ง ทำให้อยากเห็นหน้าขึ้นมาเลยเชียว ส่วนอีกคนทำหน้าที่แจ้งผู้โดยสารได้ครบถ้วนไม่มีตกหล่นซักประโยค แถมภาษาอังกฤษก็เป๊ะมาก แม้จะพูดด้วยสำเนียงไทยๆ ก็เถอะ เราขอชื่นชมทั้งสองท่าน

ว่าแล้วก็หันมาดูตัวเอง วันนี้ทำหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยังนะ เห๊อะ กลับไปทำงานต่อดีกว่า

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

On my way home ตอน...ขึ้นเขา

เมื่อวันนึง ขมมี่ต้องโคจรออกจากโลกใบน้อย ไปทำมาหากินนอกบ้าน สู้ชีวิตกับเขาบ้าง ระยะแรกๆ เหนื่อยมากถึงมากที่สุด ต้องเดินทางไกล เบียดเสียดผู้คนในช่วงเช้า ช่วงเวลาที่รถติดหนึบ ใครๆ ก็หันไปพึ่งพารถไฟฟ้า สัปดาห์แรกที่เริ่มงาน เหมือนโดนสวรรค์กลั่นแกล้ง ขึ้นรถไฟฟ้ารถก็แน่นมาก ยืนเขย่งบนปลายเท้า แทบจะไม่ต้องเกาะเพราะคนที่ยืนอยู่รอบข้าง พยุงให้เรายืนได้โดยไม่ล้ม ไหนจะกระเป่าสะพาย ไหนจะกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊ค แทบอยากจะลาออกตั้งแต่อาทิตย์แรกกันเลยทีเดียวเชียว

พอ 1 สัปดาห์ ผ่านไป แปลกแฮะ รถไฟฟ้าก็ไม่แน่นอย่างเคย ก็ยังแน่นอยู่นะ แต่ยังพอมีพื้นที่ให้ขยับได้บ้างไม่แน่นเหมือนช่วงแรก ทั้งที่มาเวลาเดิม สงสัยสัปดาห์แรกจะเป็นการรับน้องใหม่ ทดสอบความอดทนกันหรือไงคะ นอกจากจะต้องขึ้นรถหลายต่อ แบกข้าวของหนักๆ ไปกลับทุกวันแล้ว ด่านหนึ่งที่หินมาก ก็คือ การขึ้นไปให้ถึงสถานีรถไฟฟ้าโดยไม่มีบันไดเลื่อน เนื่องจากขากลับขมมี่ต้องขึ้นไปสถานีจากถนนฝั่งที่คนใช้น้อย เขาเลยไม่ทำบันไดเลื่อนไว้บริการ ต้องลากขาขึ้นไปเองถึง 2 ช่วง รวมบันไดที่ต้องก้าวขึ้น 87 ขั้น วันแรกๆ หอบแฮกๆ ตั้งแต่ชั้นแรก 44 ขั้น ก้าวขาไป สมเพชตัวเองไป นี่เราสังขารไม่เอื้อขนาดนั้นแล้วเหรอ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ได้รับกำลังใจจากเพื่อนรักว่าสักวันขมมี่จะเก่ง ขมมี่จะแกร่ง


แค่เห็นก็ท้อแล้ว

เวลาผ่านไป 1 เดือน ชีวิตมีการพัฒนาขึ้น จากที่เคยหอบลิ้นห้อยอยู่ที่ขั้น 40 กว่าๆ ก็ขยับมาเป็นหมาหอบอยู่ที่ขั้น 50-60 พร้อมใจมุ่งมั่น พรุ่งนี้ฉันจะไม่หยุดพัก ต้องรวดเดียวให้ถึงให้ได้ และแล้ว ขมมี่ก็ทำได้ แต่พอมายืนบนชั้นขายตั๋ว มองไปที่จอมอนิเตอร์เห็นตัวเลขอีก 2 นาที รถไฟมาถึง เอาละสิ ไม่ต้องหยุดพัก วิ่งขึ้นบันไดต่อไปที่ชานชลา เพื่อให้ทันรถไฟขบวนนี้ สุดท้ายก็ ทันค่ะทัน แต่ใจจะขาด หัวใจเต้นตึ้กตักโครมคราม แทบจะออกมานอกอก วันต่อๆ มา ขมมี่เริ่มชิน เริ่มเหนื่อยน้อยลง น้อยลง น้อยลง หมายความว่า ร่างกายเริ่มจะแข็งแรงขึ้นแล้วใช่มั๊ยคะ

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แจ๋วอ่ะ คิดได้ไง

ร้านทำผมเล็กๆ ร้านหนึ่ง ที่กลายเป็นร้านประจำของขมมี่




ช่างทำผมเป็นคุณแม่ single mom เช่าห้องเล็กๆ คะเนจากสายตาน่าจะมีขนาดไม่เกิน 3*7 เมตร  เป็นทั้งร้านทำผม เป็นทั้งที่กิน นอน และทุกสิ่ง มีเก้าอี้ทำผม 2 ตัว เก้าอี้ธรรมดาๆ ไม่มีที่ปรับระดับให้สูงต่ำได้ เมื่อตอนครั้งแรกที่ไปทำผมร้านนี้ ระหว่างตัดผมก็นั่งคิดไปว่า ถึงเวลาไดรน์ผมพี่เค้าจะทำไง เราก็ตัวสูงเสียด้วยสิ

ได้เวลารู้ความลับ เธอหันไปใส่รองเท้าส้นตึกที่ถอดอยู่ด้านหลัง ความสูงไม่ต่ำกว่า 4 นิ้ว พี่ไม่มีเก้าอี้ แต่พี่ทำสูงเองได้ในพริบตา ชื่นชมในความคิด ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อเก้าอี้แพงๆ ก็ทำได้เหมือนกัน

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คุ้นๆ

วันก่อนระหว่างที่อาบน้ำให้คุณลูกสาว น้องลินตางอแงตามประสา อยู่ดี ๆ ลินตาก็พูดออกมาว่า

ลินตา :  เกิดเป็นคนนี่มันช่างลำบากจริงๆ นะคะ คุณแม่รู้มั๊ยคะว่าน้ำอุ่นที่คุณแม่อาบให้หนู ที่จริงแล้วมันไม่อุ่น มันร้อนนะคะคุณแม่ ถ้าคุณแม่ไม่เกิดเป็นหนู คุณแม่รู้หรอกค่ะ

คุณแม่ : !@#%***^&%^$#??

เอ่อ  ประโยคแรกที่ลูกพูด มันฟังดูคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้นะคะ ประโยคแบบนี้คุณแม่ไม่เคยสอน หนูไปจำมาจากไหน หรือว่ามันถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมคะเนี่ย

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

You've made my day



ตั้งแต่เกิดมา หนูทำให้ทุกวันของคุณแม่ขมมี่บนโลกน้อยๆ ใบนี้ มีความหมายม๊ากกก (กรุณาอ่านเสียงสูงตาม) หนูวีระกรรมเยอะมาก มากมายจนนับไม่ถ้วน รู้มั๊ยแม่เลี้ยงหนู แม่เหนื่อยสุดๆ แต่แม่ไม่เคยจดจำ เพราะความน่ารักของลูกทดแทนทุกสิ่ง วันนี้หนู 4 ขวบ แล้วนะ สุขสัตน์วันเกิดนะจ๊ะลูก

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เสื้อคอกระเช้า ภาษาบ้านเราเขาเรียกเสื้อหมากกะแหล่ง


เสร็จซะที เสื้อที่ตั้งใจว่าจะตัดใส่นอน ใส่เล่นอยู่บ้าน เป็นเสื้อที่ตัดใส่เองตัวที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว แต่ตัวนี้ตั้งใจตัดเลียนแบบเสื้อใส่เล่นอยู่บ้านที่ใส่มานานเกิน 6 ปี ใส่มาตั้งแต่ลูกชายยังอยู่ในท้อง ใส่บ่อยมาก จนลูกไม้ที่คอเสื้อมันแหว่งมันวิ่น อีกไม่นาน ตัวเสื้อก็คงจะขาดไปตามกาลเวลา ก่อนที่มันจะขาดไปเสียก่อน เราต้องก็อปแบบเอาไว้ ขมมี่ชอบคอที่คว้านกำลังดี ตัวเสื้อด้านข้างก็กว้าง ใส่สบาย ยกแขนแล้วไม่โป๊เห็นไปถึงไหนๆ


 

 
ที่จริง เสื้อต้นแบบค่อนข้างยาว แต่ผ้าเราไม่พอ ส่วนใหญ่จะซื้อมาชิ้นละเมตรเท่านั้น น่าจะต้องใช้ผ้าประมาณ 1.5 เมตรถึงจะพอดี ถึงผ้าจะไม่พอก็ไม่เป็นไร จัดการเย็บแบบตัดต่อด้านหลังก็ได้ ใส่เล่นอยู่บ้านก็ไม่มีใครเห็นนี่นา แค่กังวลอยู่ว่าตะเข็บด้านหลังจะทำให้ไม่สบายตัว ยังไงก็ลองดู ถ้าตัวนี้ใส่แล้วไม่เวิร์ค ตัวต่อไปแก้ไขได้นี่นา ตัดเสร็จก็ต้องรีบอวด แท แด๊


รอบตัวกว้างใส่สบายไม่อึดอัด


ให้เห็นลวดลายผ้าใกล้ๆ แถมเห็นจุดต่อผ้าด้านหลังด้วย


ยังไม่ได้ซักเลย ขอลองซะหน่อย

อย่างนี้เขาเรียกว่า Fin ใช่มะคะ

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ออกไปท่องจักรวาล

หลายวันที่ผ่านมา ขมมี่ห่างหายจาก my planet ซะนาน ออกไปท่องจักรวาลมาค่ะ บ้างก็ไปเยือนดินแดนของคนรักผ้า บ้างก็ไปโคจรรอบๆ บ้าน แต่วันก่อนออกจากวงโคจรไปไกลหน่อย เนื้อยเหนื่อย คนเมืองกรุงนี่เก่งเนอะ ฝ่าการจราจรแสนหนึบหนับ ขึ้นรถ ลงเรือ เดี๋ยวลอยฟ้า เดี๋ยวมุดดิน เพื่อให้ถึงที่หมายให้ไวที่สุด ขมมี่เคยอยู่แต่แถวชานเมืองเสียจนชิน นานๆ จะเข้าเมืองที กลับถึงบ้านสลบไสลกันเลยทีเดียว

ขมมี่ไปพาหุรัดที่ไร มีเหรอจะกลับบ้านมือเปล่า ได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านเกินตั้งใจอยู่เสมอ ครั้งล่าสุดนี้ได้ผ้าสำหรับทำผ้าคลุมโซฟาผืนใหม่ ผ้าตัดเสื้อลูก อุปกรณ์ตกแต่งงานฝีมืออีกจำนวนนึง (เอาไว้ประกอบเป็นชิ้นงานเสร็จแล้วจะเอามาให้ชมนะคะ) ใจยังอยากได้ผ้าอีกหลายชิ้น แต่ที่ซื้อมาเต็มตู้ไปหมด ยังไม่ได้ลงมือตัดซะที นอกจากผ้าแล้วยังได้ผ้าปูโต๊ะโครเชต์ถัก ผืนละ 50 บาท คนขายยังได้กำไร แล้วคนถักจะได้กี่ตังค์คะเนี่ย


นี่ไงผ้าปูถักโครเชต์ ถักได้นะ แต่ขี้เกียจ :P


มุมนี้พอดูได้ ถัดไปอีกนิด รกมากค่ะ เหะๆ

ส่วนอีกวันไปโคจรแถวบ้าน อยากได้ดอกไม้มาประดับแจกัน ได้ดอกไม้แล้วยังได้เพื่อนใหม่มาตัวนึง เค้าน่ารักดี เอามามองหน้ากันตอนนั่งเย็บผ้า ของรอบตัวน่ารักๆ ทำให้การอยู่บ้านน้อยๆ หลังนี้ น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ ความสงบในการอยู่บ้าน ทำให้การออกไปท่องจักรวาลเป็นเรื่องตัดสินใจยากขึ้นมาเลยทีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Today is my Birthday

ตื่นเช้ามาวันนี้ ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากทุกวัน รู้สึกเฉยๆ ไม่คิดอยากได้ของขวัญพิเศษอะไร
ขอเพียงครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า กินอิ่ม นอนหลับ ไม่มีหนี้ สามีรัก ลูกๆ เป็นเด็กดี
เพียงพอกับสิ่งที่มี พอใจกับสิ่งที่เป็น

ได้รับคำอวยพรจากเพื่อนๆ ทาง Facebook ทั้งจากคนใกล้และคนไกล
ถึงจะมีคนที่รักเราไม่มาก  น้อย... แต่มาก ช่างมีความหมาย

เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว แต่ก็ยังมีบางเรื่องติดค้างในใจ
เป็นปัญหาเดิมๆ ที่เคยผ่านมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังเจออีก
ถ้าเป็นไปได้ ของขวัญปีนี้ อยากให้แม่นำพาธรรมะเข้าสู่จิตใจ
ไม่ต้องไปวัดก็มีความสงบได้  จะได้มีความสงบสุขในบั้นปลายของชีวิต

คิดถึงพ่อ ทำบุญไปให้พ่อ หวังว่าพ่อจะได้รับ
อธิฐานให้เจ้ากรรมนายเวร คนที่ไม่หวังดี คนที่คิดร้าย
ขอให้มีความสุข ความเจริญ อย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย สาธุ

ขอบคุณทุกคนที่หมุนไปกับโลกของขมมี่นะคะ

xoxo

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

ลมออกหู


นี่คือซากลิปส์ติกแท่งโปรดของขมมี่ นึกแล้วว่าซักวันจะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อุตส่าห์ระวังแล้วเชียว เก็บซุกซ่อนหลบสายตาคุณลูกสาวมานาน เพราะเคยได้ยินประสบการณ์คุณแม่ๆ ที่มีลูกสาว หลายคนเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวกับลิปส์ติกเป็นของคู่กัน บางคนเคยมีประสบการณ์ลิปส์หักครึ่ง บางคนแป้งแตกทั้งตลับ บางคนน้ำหอมหมดขวด

แล้วก็ถึงวัน ซ-ว-ย ของขมมี่ นั่งดูทีวีอยู่ในห้องด้วยกันครบ ลูกชายอยากกินขนม ขมมี่ลงไปหยิบข้างล่าง ไม่ถึง 5 นาที ลูกสาววิ่งเอามาให้ดู พร้อมกับขอโทษขอโพยเพราะรู้ตัวว่าจะต้องโดนทำโทษแน่ๆ อิแม่โกรธจนตัวสั่น ไม่รู้จะทำไงดี ตีไปก็ตายเปล่า ยังไงลิปส์มันก็ไม่กลับมาเหมือนเดิม คิดอยู่เหมือนกันว่าซักวันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ลิปส์ติกในกระเป๋ามีตั้งมากมาย ทำไมต้องเลือกแท่งที่แพงที่สุดด้วยคะคุณลูกสาว

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

ไม่หนาวแล้ว ถอดสเว็ตเตอร์ดีกว่า

เปิ้ล...เพื่อนที่นิวยอร์ค เขียนมาถามว่า "ยังจำเรื่องคนที่ถักเสื้อกันหนาวให้ต้นไม้ได้ไหมจ๊ะ  ตอนนี้ที่นิวยอร์คอากาศไม่หนาวแล้ว เค้าเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ต้นไม้ โดยเค้าจินตนาการเอาเองว่า น่าจะเหมาะและต้นไม้คงชอบ เค้าทำเป็นกระดาษเคลือบแข็งมาผูกติดไว้ สงสัยกลัวหายเหมือนกับเสื้อตัวแรก แต่ก็ยังน่ารักอยู่ดี"




อ่านจากจดหมายที่เค้าเขียนถึงต้นไม้ ได้รู้แล้วว่า คนที่เอาทั้งเสื้อกันหนาวและรูปภาพมาติดที่ต้นไม้
มีชื่อว่า Isabel และ Devlin  ท่าทางจะรักทั้งต้นไม้และแฟชั่น และยังจินตนาการบรรเจิด
ขอบคุณคนคิดดี ทำดี และคนส่งต่อเรื่องดีๆ มาเล่าสู่กันฟังนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ Totoro

เพื่อนใหม่ของขมมี่ เพิ่งจะมาอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน สบตากันตอนเดินผ่านร้านขายตุ๊กตา เห็นแล้วชอบใจ
ไม่รู้มาก่อนว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามว่าไร ไม่รู้มาก่อนว่าเขาดังขนาดไหน พี่คนขายบอกว่าชื่อ "โตโตโร่"
การ์ตูนเรื่องนี้น่ารักมว๊าก อืม..ขนาดนั้นเชียวเหรอคะคุณพี่ แล้วขมมี่ไปอยู่มุมไหนของโลกใบนี้ ถึงไม่รู้จักโตโตโร่มาก่อนเลย แค่เห็นแล้วชอบ ก็เลยชวนมาอยู่ด้วยกัน ถึงบ้านลูกๆ แย่งกันใหญ่เลย
อย่านะ ตัวนี้ของคุณแม่



ปล. เพิ่งนึกออก เคยเห็นในลายกระเบื้องบ้านนอร่านี่นา มิน่า เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

ขึ้นเขียงครั้งแรก เป็นใครก็กลัว

เคยขึ้นเขียงกันมั๊ยคะ เขียงที่ว่านี่ไม่ใช่อะไร เตียงผ่าตัดที่โรงพยาบาลนั่นล่ะค่ะ ขมมี่เคยขึ้นมาแล้วครั้งนึงตอนผ่าตัดทำหมัน กลับมานึกถึงความรู้สึกนั้นอีกครั้ง หลังได้ข่าวจากเพื่อนคนนึงว่า ต้องเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจ เป็นใครๆ ก็กลัว ผ่าที่อื่นยังไกลหัวใจ แต่นี่ผ่าตรงหัวใจเลย ไม่กลัวก็บ้าแล้ว

ตอนที่ขมมี่ขึ้นเขียงผ่าตัด ช่วงเวลาที่นอนรอบนเตียงรถเข็นก่อนเข้าห้องผ่าตัด มันระทึกน่าดู ขมมี่ผ่าที่โรงพยาบาลรัฐบาลมีชื่อเสียง บรรยากาศบริเวณห้องผ่าตัดไม่ได้ย่ำแย่อะไร สะอาดสะอ้าน อาจจะไม่สวยงาม สะดวกสบาย ปรู๊ดปร๊าดเหมือนโรงพยาบาลเอกชน เจ้าหน้าที่เค้าเข็นคนไข้มาจอดรอเรียงกันอยู่สองข้างทางของห้องผ่าตัด (บริเวณนี้คนนอกเข้าไม่ได้ค่ะ) ทิ้งเราให้นอนมองเพดานไปซักครึ่งชั่วโมง ให้เรานอนคิดและจินตนาการไปต่างๆ นานา จากนั้นก็จะมีคนมาถามชื่อและนามสกุล ขมมี่รีบตอบด้วยเสียงดังฟังชัด กันผ่าพลาด ชั้นจะมาทำหมัน เดี๋ยวโดนเข็นเข้าห้องผิด ซวยเลย

และแล้วก็ถึงนาทีระทึกใจ เข้าห้องผ่าตัดแล้วค่ะ วิวที่เห็นจากมุมคนไข้บนเตียง คือห้องกว้างๆ ใหญ่ๆ สีขาว มีเตียงผ่าตัดอยู่ตรงกลาง เครื่องไม้เครื่องมือไม่มากอย่างที่เห็นในหนัง (แอบคิดในใจ : เออ ก็เรามาทำหมันที่นา ผ่าตัดเล็กน้อยจะเอาเครื่องมืออะไรมากมาย) แต่พอย้ายจากเตียงรถเข็นไปขึ้นเตียงผ่าตัดนี่สิ ใจหวิวเลย มองขึ้นไปเห็นแต่ไฟดวงบะเร่อทั้งนั้น เอาผ้าเขียวมาคลุมแล้วกั้นเป็นฉากระหว่าง หน้ากับท้อง จะได้ไม่เห็นตอนหวาดเสียว เอาละสิ เริ่มคิดเป็นตุเป็นตะตามที่เคยเห็นในข่าว ถ้าหมอ บล็อคหลังไม่ดี  ผ่าเสร็จแล้วเดินไม่ได้จะทำไง ลูกคนเล็กเพิ่งคลอดเมื่อวานนี้เองนะ นอยด์ หน่อย น่อย น้อย หน๋อย ตั้งต้นสวดมนต์ ขอให้การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีเถอะเจ้าประคู๊ณ

คุณหมอที่ผ่าตัดเป็นนักศึกษาแพทย์ ไม่ใช่อาจารย์หมอที่มาทำคลอดให้เรา ปลอบใจตัวเอง หมอเค้าผ่านการฝึกมาเยอะแล้ว งานขี้หมูขี้หมาแบบนี้ไม่ต้องถึงมืออาจารย์หรอก เอาลูกศิษย์ไปจัดการก็พอก่อนผ่าก็ต้องบล็อคหลังก่อน คุณหมอที่วางยา (ก็นักศึกษาแพทย์อีกนั้นแหละ) บอกให้นอนตะแคง งอตัวให้มากที่สุดเหมือนกุ้ง แล้วหมอจะฉีดเข้ากลางหลังนิ่งๆ เข้าไว้นะคร๊าบ นิ่งแล้วค่ะคุณหมอ ไม่กล้าดุ๊กดิ๊กเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ มาเช็ดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย พร้อมกับถามว่า เย็นมั๊ยครับ ขมมี่ตอบ เย็นค่ะ ถามอีก 2-3 ครั้ง ขมมี่ก็ยังเย็นอยู่ กลัวคุณหมอลงมีดก่อนยาจะออกฤทธิ์อ่ะ หมอไม่ถามแล้ว แปลว่ากรีดไปแล้วเหยอ

อีกประเดี๋ยวนึง มีคุณหมอเดินเข้ามา ฟังจากเสียงคาดว่าจะเป็นอาจารย์หมอเวร เข้ามาตรวจงาน ถามไถ่เรื่องการวางยา อาจารย์หมอคอมเมนท์ว่า "คุณทำแบบนี้ได้ไง" โอ้วแม่เจ้า มาคอมเมนท์กันต่อหน้าคนไข้ที่มีสติครบแบบนี้กันเลยเหรอคะ เพิ่งทำใจสงบได้ไม่นาน ประโยคนี้ของคุณหมอทำให้หลังเย็นวาบเลย คุณหมออย่าเพิ่งออกไปนะ อยู่ด้วยกันก่อน เผื่อเค้าเป็นไรไปหมอต้องช่วยเค้านะ

ระหว่างนั้น ทีมแพทย์และพยาบาลก็พูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน ดีค่ะดี บรรยากาศจะได้ไม่เคร่งเครียด แต่อย่าเมาท์เพลิน จนลืมไปว่ากำลังกรีดท้องคนอื่นอยู่นะคร๊า


ปล. การผ่าตัดครั้งนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ใช้เวลาแป๊บเดียว แผลก็เล็กนิ๊ดเดียว แต่เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่มิอาจลืม

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไม่ได้บ้าของนอกนะ แต่มันดีกว่าจริงๆ

เพิ่งได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของไหมปักไทย (ชื่อ 2 พยางค์) กับไหมสัญชาติฝรั่งเศส (ชื่อ 3 พยางค์) ที่ใช้มาตั้งแต่จำความได้ ปักงานค้างอยู่ แต่ไหมนอกดันหมด ต้องไปเสาะหาสีใกล้เคียงมาทดแทน ตระเวณหาซื้อตามร้านค้าและในห้างไม่มี ได้คำตอบเดียวกันว่า บริษัทที่นำเข้าเดิมเขาเลิกนำเข้าแล้ว เปลี่ยนมานำเข้าไหมอีกยี่ห้อที่มีชื่อเหมือนกล้องถ่ายรูป (ชื่อ 3 พยางค์) ร้านทั่วๆ ไปก็มีแต่ไหมไทยขายทั้งนั้น จำใจซื้อมาเพื่อให้งานจบ

ขมมี่พบความแตกต่างเมื่อได้ลองปักเดินเส้นเป็นตัวหนังสือ ปกติขมมี่จะปักไปเลาะไป ถ้าหากปักแล้ว โค้งตัวหนังสือไม่สวยก็จะเลาะออกเลี้ยวใหม่ จนกว่าจะได้องศาที่พอใจ ไหมไทยเลาะแค่เพียงครั้งสองครั้ง เส้นไหมแตกเป็นฝอยกระจุยกระจายต้องเลาะออกเยอะกว่าเดิมเพื่อตัดไหมที่แตกออกแล้วซ่อนปลายไหมไว้ด้านหลัง ทำให้เสียเวลาและหุดหิดอย่างยิ่ง ยังดีนะที่เหลืองานต้องปักแค่นิดเดียว จะเอาไหมนอกสีใกล้เคียงมาปัก ก็เกรงว่าสีจะโดด งานไม่ต่อเนื่อง พยายามต่อไปให้งานจบ เดี๋ยวขึ้นงานชิ้นใหม่ เอาไหมนอกสีอื่นเลยปักง่ายกว่ากันเย๊อะ


เล่ามาตั้งนาน เดาออกมั๊ยคะว่า ไหมแต่ละยี่ห้อมีชื่ออะไรบ้าง ใครทายถูกมารับรางวัลกับขมมี่นะคะ

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

เมื่อขมมี่ ริอ่านเย็บที่นอนให้ลูก

ขอท้าวความถึงที่มาที่ไปของโปรเจ็คนี้กันก่อนนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า ทุกครั้งที่ปิดเทอมของหนูๆ ครอบครัวเราจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันเทอมละครั้ง จะค้างกี่คืนก็แล้วแต่ แต่ทุกที่ๆไป ห้องพักเค้าจะมีเตียงใหญ่คิงส์ไซส์ พ่อแม่ลูกต้องอัดกันอยู่บนนั้น (เนื่องจากอิแม่ งก ไม่ยอมจ่ายตังค์ค่าเตียงเสริม) ใครมีลูกคนเดียวก็แล้วไป แต่บ้านเรามี 2  ดิ้นเก่งทั้งคู่ แต่พี่ชายเนี่ยแรงเยอะ ดิ้นเอาขามาพาดน้อง น่าสงสาร ต้องเอาผ้าห่มมาปูที่พื้นให้น้องนอน ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่

คุณแม่ขมมี่ลองเดินหาที่นอนปิคนิคหลายต่อหลายที่แล้ว ไม่ถูกใจซักกะที บ้างก็ใหญ่ไป บ้างก็บางเฉียบเหมือนผ้าห่ม (งั้นชั้นเอาผ้าห่มปูนอนก็ได้ย่ะ) เมื่อไม่มีอันไหนถูกใจ ก็เย็บเองซะเลยสิ ปะ หาอุปกรณ์กัน
สิ่งที่ต้องเตรียมได้แก่ ผ้าดิบอย่างหนา หนาที่สุดเท่าที่จะหาได้ (ขอเตือนไว้ก่อนนะ ยิ่งหนายิ่งเย็บยาก) นุ่นหรือใยอัดสังเคราะห์ เข็มเย็บอันใหญ่ๆ ด้าย และใจสู้ไม่ถอยเพื่อลูกน้อยของเรา

ขนาดที่นอนที่ขมมี่ต้องการ ความกว้างของที่นอนอยู่ที่ 60 ซม. ส่วนความยาว กะไว้ที่ 120 ซม. ทำเป็นที่นอนพับ ต้องเย็บแผ่นเล็กๆ ขนาด 60*40 ซม. 3 แผ่นต่อกัน แต่เราจะทำเผื่อไว้อีกแผ่นเอาไว้เสริมเวลาลูกโตอีกนิด ค่อยต่อเพิ่มอีกแผ่น จะได้ความยาวทั้งหมดที่ 160 ซม.

เริ่มกันเลยค่ะ


ตัดผ้าขนาดที่ต้องการ


โพ้งริมให้เรียบร้อยทุกด้านจะได้ไม่รุ่ย รุงรัง


ก่อนจะเย็บใช้เข็มหมุดกลัดไว้เป็นระยะ จะได้ไม่เบี้ยว


อย่าลืมเปลี่ยนเข็ม เป็นเข็มสำหรับเย็บผ้าหนา


พร้อมแล้ว เหยียบโลด


ช่วงเลี้ยว ช่วยเบาฝีเท้าหน่อยนะคะ

ก่อนจบแต่ละชิ้นงาน อย่าลืมเผื่อช่องไว้กลับผ้าและยัดนุ่น กว้างๆ หน่อยนะคะ ตอนยัดนุ่นจะได้ไม่ลำบาก


เตรียมอุปกรณ์ยัดนุ่น


สิ่งที่ขาดไม่ได้ระหว่างการยัดนุ่นคือผ้าคาดปากค่ะ ต้องใส่ทุกครั้งนะคะ ถ้าไม่มีฮัดชิ้วตลอดเลยเรา ถ้าใครใช้ใยสังเคราะห์ยัดที่นอนก็ยัดได้เลย แต่ถ้าใครใช้นุ่น เอามาตากแดดก่อน แล้วใช้ไม้ตีไล่ขี้ฝุ่นซักนิด ก็ดีนะคะ


ยัดแน่นๆ ไว้ก่อนนะคะ เดียวจะยุบอีกเยอะ แล้วเย็บปิดเลย


เมื่อเย็บปิดแล้ว จะได้ชิ้นที่นอนหน้าตาเหมือนหมอนอ้วนๆ ให้ใช้ปากกามาร์คจุดไว้ระยะเท่าๆ กัน ทั้งด้านหน้าและหลัง สำหรับการเย็บรั้งให้เป็นแผ่นที่นอน


ที่นอนแผ่นไม่ใหญ่มาก มาร์คไว้ 6 จุดก็พอค่ะ


 ใช้ด้ายซัก 3-4 เส้น ปักลงไปทะลุข้างล่าง
แล้วแทงกลับมาที่จุดเดิม เสร็จแล้วมัดปมไว้ให้แน่น


เย็บแต่ละชิ้นเสร็จแล้ว ก็เอามาเย็บต่อกัน
ขั้นตอนนี้ล่ะยากสุด เล่นเอานิ้วระบม ขนาดใส่ปลอกนิ้วแล้วนะเนี่ย


พอพับแล้วเป็นแบบนี้ค่ะ


ลูกสาวมาลองนอนหน่อยซิจ๊ะ


ภารกิจนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี คุณแม่ขมมี่แสนจะภูมิใจ


วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุขสันต์วันเกิดนะคะลูกชาย

ถึง น้องอะตอม

      จากวันนั้นถึงวันนี้ เรารู้จักกันมา 6 ปีแล้วนะคะน้องอะตอม ตั้งแต่ลูกเกิดมา ไม่มีวันไหนที่แม่ไม่รักลูกเลย


                                                      จะรักกันตลอดไปนะ

                                                       คุณแม่ขมมี่


วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

อย่างงี้มันหมายความว่ายังไงคะลูก

เวลาที่ลูกๆ อยู่บ้านกับแม่ สิ่งที่เบื่อมากที่สุดคือ เค้าชอบตีกันทุกๆ 5 นาที หรืออาจจะถี่กว่านั้น พอคนนึงเริ่มร้องไห้ อีกคนก็จะร้องบ้าง พร้อมกับโบ้ยอีกฝ่ายว่าเป็นคนเริ่มก่อน พี่ชายบ้านนี้เป็นพี่ชายที่ไม่มีการยอมน้องสาวเลยแม้แต่น้อย ตีมาก็ตีกลับ กวนมาก็ข่วนใส่ แง่ง....ง  ส่วนน้องสาวก็ไม่เบาชอบกวนประสาท ยั่วโมโหเก่งเป็นที่สุด เวลาที่สองคนจะปรองดองกันได้ เป็นเวลาที่เค้ารวมหัวกันเล่นซน

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่สองคนทะเลาะกัน ที่มาที่ไปแม่ไม่รู้ แต่ไอ้อ้วนพี่ชายร้องห่มร้องไห้มาฟ้องแม่ว่า
 "ลินตาน่ะ เด็กอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะเกิดมาในโลกนี้ทำไม"  เรื่องใหญ่ละสิ แม่ต้องรีบเคลียร์ ต้องมาแอบกระซิบพี่ชายว่า น้องยังเล็ก ยังไม่รู้ประสา (ทั้งที่จริง โคตรจะรู้ประสาและโตมากแล้ว) ปล่อยๆ เค้าไปเถอะลูก น้องจะได้เงียบ แม่รำคาญ พี่ชายก็ยังไม่ยอมอยู่ดี

แม่ เลยถามว่า ถ้าไม่มีน้องแล้วหนูจะเล่นกับใคร
อะตอม : หนูเล่นกับแม่ก็ได้

งั้นแม่ขอถามอะตอมหน่อยนะคะลูก......

เวลาขึ้นบนบ้าน ทำไมต้องให้น้องสาวไปด้วย

เวลาเล่นซน ทำไมต้องให้น้องเป็นคนนำ

เวลาไปวิ่งเล่น ทำไมต้องให้น้องไปด้วย

เวลาขอขนม ทำไมต้องขอไปเผื่อน้องทุกครั้ง 

เวลาตื่นนอน ทำไมต้องชะโงกไปที่เตียงนอนน้องทุกเช้า









..................................แล้วอย่างนี้มันหมายความว่าไงคะลูก.................................




วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โก๊ะน้อยของแม่

อีกไม่กี่วัน น้องอะตอมก็จะมีอายุครบ 6 ขวบแล้ว ระยะนี้ไอ้เด็กหัวโตของแม่ขมมี่ ชอบวาดรูปมาก เมื่อก่อนเคยชอบวาดเล่นเรื่อยเปื่อย ขมมี่ก็จะซื้อสมุดวาดเขียน สันเป็นห่วงๆ มาให้เขาวาด กว่าอิแม่จะซื้อกระดาษวาดเขียนให้ลูกได้ ก็ต้องเดินเลือกอยู่นาน เทียบขนาดแล้วยังต้องนับกระดาษด้วยว่ามีกี่แผ่น เลือกมาในราคาเล่มละ 36 บาท เป็นเล่มที่คำนวณแล้วว่าคุ้มสุดๆ (ปัจจุบันขึ้นราคาเป็น 48 บาทแล้ว แง้ๆ) ซื้อมาให้อะตอมกับลินตาวาดรูปเล่น จะได้ไม่ฝักใฝ่กับทีวีมากนัก

สมัยที่อะตอมยังเล็กกว่านี้ ซักประมาณ 3-4 ขวบ คุณแม่ต้องทำใจอย่างแรง กระดาษแต่ละหน้าจะเต็มไปด้วยรูปภาพยึกยืออะไรไม่รู้ เต็มไปหมด บางหน้า เขียนเป็นวงกลม 2-3 วงแล้วก็เปิดหน้าใหม่ (ฮืมมม กระดาษแพงนะเว้ย เฮ้ย คุณลูก) แล้วอะตอมก็เลิกจับดินสอสีไปพักใหญ่ หันไปเอาดีทางแปลงร่างตามประสาเด็กชาย จู่ๆ น้องอะตอมก็กลับมาฮิตวาดรูปอีกครั้ง แรงบันดาลใจในการวาดภาพก็คงไม่พ้น เหล่าฮีโร่ สไปเดอร์แมน แบทแมน อุลตร้าแมน








สำหรับการ์ตูนตัวโปรดของเค้าเวลานี้ ได้แก่ สปอนจ์บ็อบและผองเพื่อน การ์ตูนทีวีที่กำลังติดงอมแงม อะตอมวาดทุกท่าทีมีแบบ บางทีก็วาดเองตามจินตนาการ จากป็องบ็อบ ก็อยากลองวาดการ์ตูนตัวอื่นดูมั่ง






เวลาลูกวาดภาพ บางทีเค้าก็จะขอความช่วยเหลือบ้าง ในส่วนที่เค้าวาดไม่ได้ อะตอมก็จะมาอ้อน แม่จ๋าคร๊าบ ช่วยวาด (โครง) ให้หน่อยคร๊าบ ทั้งๆ ที่ไม่อยากช่วยเลย อยากให้เป็นฝีมือของเค้าล้วนๆ แต่ก็ต้องช่วยบ้างอ่ะนะ อะตอมอยากให้คุณแม่วาดอุลตร้าแมนทำท่าอย่างงี้ๆ นะคร๊าบ แล้วเค้าก็ทำท่าให้ดู แม่ขมมี่ก็แกล้งให้ลูกทำท่านี้ค้างไว้ เห็นแล้วก็ขำ อดวาดให้ไม่ได้ บางครั้งวาดให้ก็ไม่ถูกใจ อะตอมบอกคุณแม่วาดท้องอ้วนเกินไป ขาใหญ่ไปมั่ง คุณแม่มีเคือง งั้นอะตอมก็วาดเองดิ อะตอมวาดสวยแล้ว สวยกว่าแม่วาดอีก จะมาให้แม่วาดให้ทำไม (เอ้าๆ แม่ลูกจะต่อยกันแล้ว)









ล่าสุด อะตอมมันมือ วาดนู่นนี่นั่น ตามแบบมาก็มากแล้ว อยากลองอะไรที่มันท้าทาย คราวนี้เลยเถิดไปถึงวาดรูปคน จับคุณยายมานั่งเป็นแบบ บอกคุณยายห้ามกระดุ๊กกระดิ๊กเปลี่ยนท่า



มันจะล้ำไปมั๊ยคะ โก๊ะน้อยของแม่

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รหัสลับดาวินชี่

อันที่จริงเรื่องนี้ควรจะมีชื่อเรื่อง My Book, My Inspiration ตามแบบฉบับของขมมี่ แต่ที่ต้องเขียนแบบนี้เพราะมันมีที่มาที่ไปนะสิ ถ้าใครติดตามขมมี่อยู่จะรู้ว่า ช่วงนี้ขมมี่บ้าถักไหมพรม ถักโครเชต์ ถักนิตติ้งไปตามประสา ตามประสาของขมมี่ คือ เปิดหนังสือแล้วถักตามแพทเทิร์น ไม่เคยไปเรียนที่ไหน เกิดมาไม่มีใครสอน ตั้งแต่เล็กเคยเห็นแต่แม่นั่งถักโครเชต์ บางทีก็ถักนิตติ้งกับตำราเล่มเก่าๆ ปะแล้วปะอีกอยู่เล่มนึง แต่คุณนายแม่ถักได้ทุกสิ่ง ตั้งแต่กระโปรงลูกสาว ผ้าพันคอ เสื้อกั๊ก ไปจนถึงผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง แม่ชั้นจบแค่ ป.4 ดูจากหนังสือยังทำได้ ฉะนั้นขมมี่ก็ต้องทำได้

จัดแจงหาแพทเทิร์น หมวก เสื้อ ผ้าพันคอ เล็งเฉพาะแบบง่ายๆ สำหรับมือใหม่หัดถัก เก่งกาจแล้วค่อยแอดวานซ์กันไป แล้วขมมี่ก็ถึงกับอึ้ง เมื่อเจอแพทเทิร์นแบบนี้









โอ้แม่เจ้า นี่เขากำลังส่งรหัสลับอะไรกันอยู่เหรอคะ ขอรู้ด้วยคนจะได้มั๊ย ทำไมมันช่างซับซ้อนอะไรเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ขมมี่ถอดใจไปหลายรอบ เพราะไม่รู้จะไปหัดเรียนกะใคร แม่ก็ 80 แล้ว จะให้เขาสอน ก็พาลจะหาเรื่องทะเลาะกันเปล่าๆ จะไปเรียนตามห้าง ต้องไปเรียนสักกี่ครั้งถึงจะเป็นเนี่ย แล้วเค้าจะอยากสอนชั้นเหรอ อินี่มันรู้แต่ นิต กะ เพิร์ล ต้องสอนใหม่หมดเลยนะ



และแล้วขมมี่ก็เจอหนังสือเล่มนี้เข้า เขาสอนตั้งแต่เริ่มจับไม้ ขึ้นต้นห่วง ที่สำคัญมันมีโค้ดลับที่ขมมี่ต้องการด้วย สีสันสวยงาม น่าจะเข้าใจง่าย





ตอนซื้อมาคุณสามีถามว่า ขมถักเป็นแล้วจะซื้อมาทำไม ก็เลยเปิดโค้ดให้เค้าดูซักหน้าสองหน้า แล้วถามเค้าว่า ถ้าไม่มีเล่มนี้ แล้วจะรู้มั๊ยว่า ในแพทเทิร์นมันต้องการให้ทำอะไร


 เจอโค้ดแบบนี้เข้าไป ขมมี่ถึงกับใบ้แดกเลยสิ


 ค่อยๆ อธิบายกันทีละขั้น


 ดีนะที่เค้าใช้หลายสี ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น


 โค้ดนี้ก็ไม่ธรรมดา



อันนี้เลิศสุด ทั้งไขว้ทั้งตีเกลียว



 คุณสามีเห็นแล้วคงอึ้ง แล้วก็บอกว่า เหมือนรหัสมอสส์เลยเนอะ